วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เรื่องการใช้ either และ neither



- ผมสรุปให้ง่ายๆ 4 ข้อตามนี้นะครับ
1.) ใช้ในประโยคที่ให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยจะใช้คู่กับคำว่า or
> We have to choose either John or Joe. (เราต้องเลือกคนใดคนหนึ่งระหว่างจอห์นกับโจ)
> Either you or me have to go. (ไม่คุณก็ฉันแหละที่ต้องไป)
---
2.) ใช้ในประโยค "ปฏิเสธ" โดยให้ความหมายว่า "เช่นกัน"
> I don't smoke and my father doesn't either. (ฉันไม่สูบบุหรี่ พ่อของฉันก็ไม่สูบเช่นกัน)
> I have not seen Jim for a long time. (ฉันไม่ได้เจอจิมมานานมากแล้ว)
> I haven't either. (ฉันก็เช่นกัน = คือไม่ได้เจอจิมมานานแล้วเช่นกัน)
---
3.) ใช้ในการพูดถึงตัวเลือก ซึ่งจะให้ความหมายเหมือนกับการพูดว่า "อันไหนก็ได้" หรือ "ได้ทั้งคู่" ซึ่งไม่ว่าจะพูดถึงอะไรก็ตาม either จะสื่อถึงแค่ 2 สิ่งเท่านั้น ไม่ขาดไม่เกิน เช่น
> Either book will do. They are both good. (หนังสือเล่มไหนก็ได้ มันดีทั้งสองเล่ม) **กรณีใช้ either แบบนี้ จะหมายความว่ามีหนังสือแค่ 2 เล่ม
> Do you want tea or coffee? (คูณจะรับชาหรือกาแฟ)
> Either (อะไรก็ได้เอามาเห๊อะ ประมาณนั้น ^^)
---


4.) สุดท้ายไม่มีอะไรซับซ้อนครับ คือใช้แทนคำว่า both (ทั้งคู่) เลย
> The cats were playing on either side of me. (แมวเล่นอยู่ทั้งสองข้างของตัวฉัน) = The cats were playing on both sides of me.
--- *****ข้อสังเกต***** either ใช้สื่อถึง 2 สิ่งก็จริง แต่คำนามที่ตามหลัง either จะอยู่ในรูปเอกพจน์นะครับ ^^ และถึงแม้จะใช้แทนคำว่า both ในกรณีที่ 4, ให้สังเกตว่าหลัง both จะเป็นพหูพจน์นะครับ ไม่มีเหตุผลครับ ภาษานี้แล้วแต่อารมณ์ครับ :D เช่น
> either way / both ways ------->
---
ส่วนคำว่า neither คือ "ไม่ทั้งคู่" อาจใช้คู่กับ "nor" เมื่อเราต้องการพูดชื่อของทั้งสองสิ่งออกมา แต่ถ้าจะพูดแค่ว่า "ไม่ทั้งคู่" neither คำเดียวก็พอครับ ดูตัวอย่างตามนี้ครับ
> I speak neither Italian nor German. (ฉันพูดไม่ได้ทั้งภาษาอิตาเลี่ยนและเยอรมัน)
> Can you speak German or Italian? (คุณพูดภาษาอิตาเลี่ยนหรือเยอรมันได้มั้ย)
> I can speak neither language. (ฉันพูดไม่ได้ทั้งสองภาษา) หรือจะตอบสั้นๆว่า Neither ก็ถูกนะครับ (**คำนามที่ตามหลังเป็นเอกพจน์เหมือนกรณี either เลยนะครับ)
----***** ข้อควรระวังของ neither คือ คำคำนี้เป็นปฏิเสธอยู่แล้วในตัวนะครับ ดังนั้นในประโยคจะเป็นปฏิเสธไม่ได้นะครับ ถ้าจะให้ประโยคเป็นปฏิเสธ ให้ใช้ either ครับ เช่น
> I don't speak either language. (ถูกแบบมึนๆ) (ฉันพูดไม่ได้ทั้งสองภาษา)
> I speak neither language. (ถูกกว่าข้างบน) (ฉันพูดไม่ได้ทั้งสองภาษา)
> I speak either language. (ถูก) (ฉันพูดได้ทั้งสองภาษา หรือ ฉันพูดภาษาไหนก็ได้ (จากตัวเลือก) )
> I don't speak neither language. (ผิดแบบไม่มีคำแปล ^^)



ผมทำแบบฝึกหัดเรื่อง Either กับ Neither มาให้ครับ เผื่อใครสนใจก็ลองเอาไปฝึกทำได้นะครับ (ไฟล์แรกที่ทำ ต่อไปนี้จะพยายามมีแบบฝึกหัดให้สามารถโหลดเอาไปฝึกทำได้เรื่อยๆนะครับ) ^^ มีข้อเสนอแนะยังไงก็บอกได้เลยครับ


วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

คำว่า very แปลว่าอะไรได้บ้าง?


คำว่า very แปลว่าอะไรได้บ้าง?


1.มาก = It's very hot. มันร้อนมาก

2.สุดๆ ที่สุด = The very best of ... ที่ดีที่สุดของ ... / ...ที่ดีสุดๆของ....

3.(ใช้เพื่อเน้นคำนั้นๆ) I saw it with my very eyes.(ฉันเห็นกับตาเลยนะ(คือเน้นจริงๆว่าตาคู่นี้))



ตัวอย่างเพิ่มเติม
I was standing at the very end of the line. ฉันยืนอยู่ท้ายสุดของแถว (คือความรู้สึกมันหนักกว่าที่เราพูดว่า at the end of the line)

On that very day (ในวันนั้น (มันหนักกว้า on that day)) คือประมาณว่า วันนั้นอ่ะ วันนั้นจริงๆ

วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Will VS Shall


--> ทั้ง will และ shall ง่ายๆคือใช้บอกอนาคต
ในการพูดถึงอนาคตแบบปกติ shall จะใช้เฉพาะกับสรรพนามบุรุษที่ 1 (คือ I, we นั่นเอง) (ตามกฎดั้งเดิม)
I shall go. ฉันจะไป
He will go. เขาจะไป


*** แต่หลายครั้งเราอาจเคยได้ยินจากหนังฝรั่งหลายๆเรื่อง ที่ shall ไม่ได้ใช้พูดกับ I, we. เช่น ประโยคเด็ดของ Gandalf ใน Lord of the Rings ภาค 1 ที่หลายๆคนฟังกันติดหู อย่าง "You shall not pass!" - คำถามคือทำไมใช้ you shall? ขอตอบง่ายๆว่า shall ในที่นี้ไม่ได้แสดงอนาคตครับ แต่เป็นการแสดงถึงคำสั่ง คำสั่งแบบสั่งจริงๆอ่ะ (ผมอธิบายไม่ถูก ^^") You shall not pass! ไม่ได้แปลว่า คุณจะไม่ผ่าน แต่มันแปลว่า "แกห้ามผ่านโว้ยยยย!" อะไรแบบนั้น พอเห็นภาพนะครับ ^^" *** - ทีนี้มันยังมีการใช้อีกแบบนึงคือ

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สรุป Adjective VS Adverb อีกรอบ

1. adjective ขยายคำนามอย่างเดียว เช่น

the big house [big=adj ขยาย house=noun]

2. adverb ขยาย verb เช่น

She runs quickly. [quickly=adv ขยาย run=verb เป็นการบอกเพิ่มเติมว่า ไม่ได้วิ่งเฉยๆนะ แต่ "วิ่งอย่างเร็ว"]

3. adverb ขยาย adjective เช่น

It was a very big house. [very=adverb ขยาย big=adj. เป็นการขยายความว่า บ้านไม่ได้ใหญ่ธรรมดานะ แต่ บ้านมัน "ใหญ่มาก"]

4. Adverb ขยาย adverb ด้วยกันเอง เช่น

She runs very quickly. [very=adv ขยาย quickly=adv ซึ่งขยาย run=verb อยู่ ขยายกันเป็นทอดๆ - เป็นการบอกว่า ที่ว่าวิ่งเร็วน่ะ ไม่ใช่เร็วธรรมดานะ แต่มัน "เร็วมากๆ"

5. Adverb ขยาย ประโยค เช่น (ส่วนใหญ่เป็นพวก adverb บอกเวลา)

Meanwhile, she was reading. [meanwhile=adv ขยายประโยคที่ว่า she was reading ให้รู้ว่า เหตุการณ์นี้มันกำลังเกิดขึ้นพร้อมกับอีกเหตุการณ์หนึ่งพร้อมๆกัน (meanwhile แปลว่า ในขณะเดียวกัน/หรือ จนกว่าเหตุการณที่คาดเอาไว้จะเกิดขึ้น)

** สรุปอีกรอบ Adjective ขยาย noun, ที่เหลือ Adverb เหมาเกลี้ยง!! ** เวลาเจอข้อสอบพวก error ต่างๆ ให้ระวังดีๆเรื่อง adj VS adv เพราะ เขาชอบหลอกเราโดยการเอาคำสองประเภทนี้ไปขยายคำผิดประเภท :D

วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Adjective VS Adverb

"Adj ขยายคำนาม" จำแค่นี้พอ เพราะ "ที่เหลือ adv เหมาหมด"

Adj วางไว้หน้าคำนามที่ขยาย หรือ อยู่หลัง verb to be ส่วน

Adv ไม่มีที่อยู่แน่นอน วิ่งตลอดตัวนี้ แล้วแต่ว่ามันขยายอะไรและวางตรงไหนประโยคจะไพเราะกว่ากัน (ไม่มีกฎ แต่อาศัยการอ่านเยอะๆ เขียนเยอะๆ จนเกิดความเคยชิน แบบว่าพออ่านแล้วรู้อัตโนมัติเลยว่าประโยคมันตลก)


Adjective (big)

The house is big. / It is a big house.

Adverb (always)

I always walk to school. / I walk to school always. / Always, I walk to school. (กรณีนี้ always walk จะดูดีที่สุดนะ :) )


วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Accept กับ Except

Accept ยอมรับ ตกลง
Except ยกเว้น ไม่รวม




I accept all types of payment except money transfer.
(ผมรับการชำระเงินทุกวิธี ยกเว้นการโอนเงิน)

วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556

[Tips of the day] "indefinite pronoun" "indefinite pronouns"

1 Indefinite pronoun เหล่านี้ เมื่อใช้เป็นประธานจะเป็น เอกพจน์เสมอครับ
Everyone / everybody / everything
No one / nobody / nothing
Anyone / anybody / anything
Someone / somebody / something
Each / either / neither
ตัวอย่าง
> Everything "is" clear.
> No one "is" home.


2. ส่วน indefinite pronouns เหล่านี้ เวลาใช้เป็นประธานจะเป็นพหูพจน์เสมอครับ
Both / few / many / several
ตัวอย่าง
> Both "are" great!
> Few "have" survived.


3. สำหรับ indefinite pronouns เหล่านี้เมื่อใช้เป็นประธาน จะเป็นได้ทั้ง เอกพจน์ และ พหูพจน์ ทั้งนี้ แล้วแต่ว่าเราใช้คำเหล่านั้นแทนอะไร เช่น
> I have three children. All "are" in England.
กรณีนี้ all เป็นพหูพจน์ เพราะแทนที่คำว่า "three children" ซึ่งเป็น พหูพจน์เช่นกัน
> I have everything in this suitcase. All "is" packed.
กรณีนี้ all เป็นเอกพจน์ เพราะแทนที่คำว่า "everything" ซึ่งเป็น เอกพจน์เช่นกัน

***


ข้อควรระวัง
ถ้าใช้ nobody / no one / nothing / neither เป็นประธาน ห้ามลืมว่าคำเหล่านี้เป็นปฏิเสธอยู่แล้วในตัว ดังนั้นในตัวประโยคจึงไม่ต้องเป็นปฏิเสธ
> Nobody is here. (ไม่มีใครอยู่) (ถูก)
> Nobody is not here. (ไม่มีใครไม่อยู่) (ผิดภาษาเขียน แต่ถูกแบบแปลกๆในภาษาพูด) ถ้าจะบอกว่า ไม่มีใครไม่อยู่ ใช้ว่า ทุกคนอยู่ (Everybody is here) จะดีที่สุดครับ :)

วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

succeed หนุกหนานๆ

Which of the following is grammatically correct? ข้อใดต่อไปนี้ถูกต้องตามหลักไวยกรณ์ครับ ?
  1. I'm sure you will be success.
  2. I'm sure you'll succeed.
  3. I'm sure you'll success.
  4. I'm sure you'll successful.
  5. I'm sure you'll be successfully.


ขอเฉลยคำถามเมื่อวันก่อน
ที่ถูกต้องคือ
> I'm sure you'll succeed.
- succeed เป็น verb ประโยคนี้จึงถูกเพราะเราเขียนในรูปของ future tense (will+verb)


> success เป็นคำนาม - "you will success" จึงผิด เพราะ will นำหน้าคำนามไม่ได้
> successful เป็น adjective ต้องใช้ขยายคำนาม ต้องอยู่หน้าคำนาม หรือ หลัง verb to be - ที่ถูกควรเป็น you will "be" successful

> successfully เป็น adverb ใช้ขยายทุกอย่างที่ไม่ใช่คำนาม (verb, adjective, adverb, clause)

วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Fun Fact ของ Good Bye and Dawn

คำว่า Goodbye เพี้ยนมาจากคำว่า "God be with ye" (ขอให้พระเจ้าสถิตกับท่าน) :D


A new day has dawned. (วันใหม่เริ่มขึ้นแล้ว)
Dawn (noun) รุ่งเช้า / การเริ่มต้น /
Dawn (verb) เริ่มขึ้น ปรากฏขึ้น
เราสามารถใช้คำว่า dawn ได้อย่างประโยคข้างบน
A new day will dawn. วันใหม่จะเริ่มแล้ว / พระอาทิตย์จะขึ้นแล้ว
A new a is dawning. วันใหม่กำลังจะเริ่ม / พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น
*** ถึงเราจะไม่ได้ใช้คำว่า sun แต่คำว่า new day หรือวันใหม่ก็สามารถสื่อถึงพระอาทิตย์ขึ้นได้เช่นกัน

แถมให้อีกสำนวน "Morning has broken. " ความหมายประมาณว่า เช้าแล้ว

วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ตอนนี้ฝนกำลังตก พูดแบบไหนได้บ้าง?

It's raining. ง่ายสุดสั้นสุด
It's pouring.
It's showering.
The rain is falling.

The rain is pouring.
There's a shower.
It's precipitating. (พูดเอาฮานะอันนี้ พูดจริงๆมันจะลิเกเกิน ;P)


วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เทศกาลตรุษจีน Chinese New Year

เทศกาลตรุษจีน คือ Chinese New Year หรือที่ฝรั่งจะรู้จักในอีกชื่อหนึ่งคือ "Spring Festival
- ฉลอง = celebrate
พลุ ดอกไม้ไฟ = fireworks
ประทัด = firecrackers
บรรพบุรุษ = ancestor (แอน เซส เตอร์) ไม่ใช่ (แอน เชส เตอร์)




We celebrate the Spring Festival with firecrackers and fireworks.
(เราฉลองเทศกาลตรุษจีนด้วยการจุดประทัดและดอกไม้ไฟ)
The Spring Festival is the time we pay respect to our ancestors.
(เทศกาลตรุษจีนคือเวลาที่เราจะแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษ)



มีความสุขกันกับทุกปีใหม่จีนนะครับ :)

วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556

There is/There are

โดยปกติคำว่า There is/There are จะใช้นำหน้าประโยค มีความหมายว่า "มี" แต่ที่เราจะเห็นใช้ผิดกันบ่อยๆคือการเอาคำว่า Have มาใช้ในการเขียนประโยคที่ภาษาไทยขึ้นว่า มี... เช่น
Today have many cars. ประโยคนี้ผิดสุดๆเลยนะครับ เพราะ Have เป็นกริยาครับ กริยาต้องการประธาน ใจความถึงจะสมบูรณ์ (I have, she has, Henry has, etc.) ประโยคที่ยกมาจะเห็นว่า today นำหน้า have ก็จริงแต่ "วันนี้" ไม่สามารถ "มี" โน่นมีนี่ได้นะครับ ประโยคนี้จึงผิด ดังนั้นข้อควรระวังคือ ถ้าประโยคไหนขาดประธานที่สามารถ "มี" โน่นมีนี่ได้ ให้ใช้ There is/There are แทนนะครับ (ปล. There have ผมก็เห็นบ่อย ผิดเหมือนกันนะครับ) เรื่องนี้อาจดูเหมือนง่ายๆ หลายคนอาจรู้สึกว่า จะบอกทำไมเรื่องแค่นี้.... สาเหตุของโพสท์นี้เกิดจากความอัดอั้นส่วนตัวครับ เจอบ่อยมากๆๆ การเอา have มาใช้แทน there is/are เนี่ย ^^

The park has many people. (ผิด) !!! สวนสาธารณะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตครับ มีโน่นมีนี่ไม่ได้
There are many people in the park. (ถูก)
The box has three apples. (ผิด)
There are three apples in the box. (ถูก)
There have books. (ผิด)
Today, there are many cars. (ถูก)
Today have many cars. (ผิด)
My dog has three legs. (ถูก)



Credit:https://www.facebook.com/ENG101BySarit



วันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2556

ความหมายของ like (2) ต่อ




ต่อ จากโพสท์ที่แล้วนิดนึงครับ
Alike แปลว่าเหมือน แต่การใช้จะต่างจาก like นิดนึง
He is like John. เขาเหมือนจอน
He and John are alike. เขากับจอนเหมือนกัน
(พูดง่ายๆคือโครงสร้างการวางประธานจะต่างกันนั่นเอง ลองเปรียบเทียบประโยคต่อไปนี้ดูครับ แต่ละเซ็ต A,B,C ความหมายคือกันหมดครับ)
1.)
A.) My mom looks like me.
B.) My mom and I look alike.
C.) My mom and I look like each other.

2.)
A.) You look exactly like him!
B.) Both of you (he and you) look exactly alike!
C.) Both of you look exactly like each other.
ลองเอาไปปรับใช้ให้การเขียนมันไม่ซ้ำอยู่แค่โครงสร้างประโยคเดียวนะครับ :)

ส่วน seem like อันนี้จะแปลว่า (ราวกับว่า.....)
It seems like it's going to rain. (ดูราวกับว่าฝนจะตกนะ)
ปล. กรณีนี้ ใช้ look like ก็ได้เช่นกันครับ เป็น
It looks like it's going to rain.

*** ถ้า look like ตามด้วยคำนามเฉย เช่น He looks like John จะให้ความหมายว่า ประธานของประโยคหน้าตา/ท่าทาง/หรือดูแล้ว เหมือน คำนามที่ตามหลังนั้น
*** แต่ถ้าหลัง look like มาเป็นอนุประโยคเช่น It looks like it's going to rain. จะแปลว่า ดูราวกับว่าสิ่งๆนั้นกำลังจะเกิดขึ้น (เหมือนฝนกำลังจะตก)
แต่เพราะความบ้าบอของภาษา ถ้าเราใช้ว่า It looks like rain! ก็ไม่ผิดครับ แปลว่า เหมือนฝนกำลังจะตก เช่นกัน
ลองดูเซ็ตประโยคต่อไปนี้น่าจะเข้าใจมากขึ้นครับ


1.)
A.) It looks like it's going to snow. (ธรรมดา)
B.) It seems like it's going to snow. (ธรรมดา)
C.) It looks as if it's going to snow. (ไม่มี like - แถมให้ๆ) (ดูหรูขึ้นมานิดนึง เหมาะเป็นภาษาเขียน)
D.) It looks as though it's going to snow. (แถมให้อีก!) (ดูหรูไป ภาษาเขียนก็ยังดูเว่อร์ไป)
F.) It looks like snow. (พูดง่ายๆ ภาษาพูด ไม่เหมาะเป็นภาษาเขียน)

สุดท้ายแล้วครับ คำว่า likely ใช้แสดงความน่าจะเป็น ว่าสิ่งที่เราพูดถึงมีโอกาสเป็นไปได้ หรือ มีแนวโน้มไปในทางนั้น
It is likely that he will not come. มีแนวโน้มที่เขาจะไม่มา
John is more likely to pass the exam than Tim. จอนน่าจะมีโอกาสผ่านข้อสอบมากกว่าทิม

Have Fun !

Credit:https://www.facebook.com/ENG101BySarit

วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556

ความหมายหลายอย่างของ like

วันนี้เรามาดูคำว่า like กันดีกว่าครับ :)


1.) like (verb) คำนี้ถ้าเป็นกริยา จะแปลว่า "ชอบ" ครับ ผันอดีตด้วยการเติม -ed
e.g.) I like salad. ฉันชอบสลัด
He likes to walk. เขาชอบเดิน (present tense ประธานเอกพจน์ อย่าลืมเติม s ที่กริยา)

เวลาทำปฎิเสธก็ใช้ กริยาช่วย คือ verb to do + not ตามปกติ
I don't like salad.
He doesn't like to walk. (present tense ประธานเอกพจน์แต่มีกริยาช่วยมาเติม s ขวางหน้ากริยาหลักอยู่แล้ว อย่าลืมเอา s ที่กริยาหลักออกด้วย)

2.) like สามารถทำหน้าที่เป็น adjective ได้ด้วย จะให้ความหมายว่า "เหมือน"
e.g. My mother looks like me. แม่หน้าตาเหมือนฉัน (look เป็น linking verb ต้องตามด้วย adjective ซึ่งในประโยคนี้คือคำว่า like)

3.) like สามารถนำมาใช้ขึ้นอนุประโยคในประโยคที่มีสองอนุประโยค (งงมั้ย) เพื่อให้ความหมายว่า สิ่งที่เราจะพูดในทั้งสองอนุประโยคมันมีอะไรสักอย่างเหมือนกัน ดูตัวอย่างครับ

วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การใช้ Should

Should ตามด้วย verb infinitive นะครับ
Should do / should be / should come
หลายคนชอบใช้ ''should to" << แบบนี้ผิดนะครับ :D




Credit:https://www.facebook.com/ENG101BySarit

วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Most Vs. Almost

Most Vs. Almost
Most แปลว่า "ส่วนมาก" / "ส่วนใหญ่" เวลาใช้ให้ตามด้วย คำนาม เลย
- Most Thai people คนไทยส่วนมาก
- Most books หนังสือส่วนใหญ่
** แต่ถ้ามีอะไรมานำหน้าคำนาม เช่นพวก "My/your/these/the" จะต้องมี of ด้วยเสมอ เช่น
- Most of my books หนังสือส่วนใหญ่ของฉัน
- Most of the children เด็กๆส่วนมาก
----------------
ส่วนคำว่า almost แปลว่า "เกือบ"
- I almost fell. ฉันเกือบล้ม
- They are almost here. พวกเขาเกือบถึงแล้ว
- There are almost ten children. มีเด็กเกือบ 10 คน
----------------
ลองเปรียบเทียบ
- most children (ถูก)
- almost children (ผิด)
- most 10 books (ผิด)
- almost 10 books (ถูก)




Credit:https://www.facebook.com/ENG101BySarit

วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การใช้ Yet

Yet แปลว่า "ยัง" โดยปกติก็จะใช้กับประโยคปฏิเสธ โดยปกติจะวางไว้ท้ายประโยค
> I haven't done my homework yet. ฉันยังไม่ได้ทำการบ้านเลย
> She haven't told me yet. เธอยังไม่ได้บอกฉันเลย
---
หรืออาจอยู่ในประโยคบอกเล่าปกติก็ได้ โดยจะใช้นำหน้า "infinitive with to" และตามหลัง verb to be --->
> There are things that are yet to come ยังมีสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
> The best is yet to come. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง
---
Yet มีอีกความหมายหนึ่ง โดยทำหน้าที่เหมือนคำว่า but ครับ
> There's no storm, yet I hear thunder. ไม่มีพายุ แต่ฉันได้ยินเสียงฟ้าร้อง
> There's no storm, but I hear thunder. ความหมายเหมือนกันเลยครับ
** โดยปกติถ้าใช้ในความหมายนี้ อาจใช้คู่กับ still ด้วย แต่ไม่ใช้ก็ไม่ผิดอะไรครับ
> There's no storm, yet I still hear thunder.



Credit:https://www.facebook.com/ENG101BySarit

วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

although ถึงแม้ว่า

คำว่า although แปลว่า "ถึงแม้ว่า" "แม้ว่า" ใช้เชื่อมประโยคสองประโยคที่ใจความขัดแย้งกัน
> Although he is very rich, he is not happy.
ถึงแม้ว่าเขาจะรวยมาก แต่เขาก็ไม่มีความสุข
*** [ข้อสังเกต] คนไทยชอบใช้ผิด เพราะ แปลจากภาษาไทย "ถึงแม้ว่า.....แต่..." ซึ่งในภาษาอังกฤษ ใช้ although โดยไม่ต้องมีคำว่า but นะครับ
> Although he is very rich, but he is not happy. (ผิดนะครับประโยคนี้ ต้องไม่มี but นะครับ)
*** ถ้าเอา although ไว้ประโยคแรก อย่าลืม comma ขั้นกลางนะครับ
> Although he is poor, he is happy.
*** แต่ถ้าสลับเอา although นำหน้าประโยคหลัง ก็ไม่ต้องมี comma ครับ
> He is happy although he is poor.
***
Even though / although / though เลือกใช้ตามสบายครับ ความหมายเดียวกัน :D





Credit:https://www.facebook.com/ENG101BySarit